ในระบบสถาบันการเงินนั้น รัฐบาลสามารถที่จะพิมพ์เงินออกมาได้เมื่อพวกเขาต้องการ แต่ในโลกของบิทคอยน์นั้น การใช้คำว่าพิมพ์อาจจะไม่ถูกต้องนัก ถ้าจะเรียกให้ถูกคือการ “ค้นพบ” มากกว่า คอมพิวเตอร์ทั่วโลกนั้นทำการ “ ขุด” หาเหรียญใหม่ๆด้วยการแข่งขันกับเครื่องคอมพิวเตอร์เครื่องอื่นๆ


การขุดเกิดขึ้นได้อย่างไร

ผู้คนทั่วโลกกำลังส่งบิทคอยน์หากันผ่านระบบเครือข่ายบล็อกเชนของบิทคอยน์ ถ้าหากไม่มีผู้ที่คอยทำการบันทึกประวัติการส่งบิทคอยน์หากันนั้น ก็จะไม่มีสามารถมีใครรู้ได้ว่าใครเป็นคนส่งใครเป็นคนรับ ระบบเครือข่ายของบิทคอยน์ช่วยจัดการทำสิ่งเหล่านี้โดยการเก็บข้อมูลธุรกรรมการส่งบิทคอยน์ที่ส่งหากันในช่วงระยะเวลาใดระยะเวลาเหนึ่ง โดยข้อมูลนี้จะถูกว่า “บล็อก” มันเป็นหน้าที่ของเครื่องขุดในการช่วยคอนเฟิร์มการทำธุรกรรมบิทคอยน์ (confirm transaction) และทำการบันทึกลงไปในสมุดบัญชีกลางหรือ general ledger



ปลอดภัยหายห่วงด้วย Hash

สมุดบัญชีกลางนั้นมีหน้าที่คอยเก็บบล็อกที่ยาวเป็นหางว่าว โดยทั้งสองอย่างนี้เมื่อมารวมกันจะเรียกว่า “ บล็อกเชน” (blockchain) ซึ่งแปลเป็นไทยก็คือโซ่ของบล็อกที่ต่อยาวเรียงกันไปเรื่อยๆ มันสามารถใช้เก็บบันทึกการส่งบิทคอยน์หากันทุกๆธุรกรรม จาก address หนึ่งสู่อีก address เมื่อไรก็ตามที่บล็อกใหม่ที่ใช้เก็บข้อมูลนั้นถูกสร้างขึ้นมา มันก็จะถูกนำไปใส่เพิ่มในบล็อกเชนที่บันทึกข้อมูลเกี่ยวกับการส่งบิทคอยน์หากันในเครือข่าย โดยตัวสำเนาของบล็อกที่ถูกอัพเดตแล้วจะสามารถที่จะถูกนำไปแจกจ่ายให้กับทุกๆคนหรือใครก็ได้ที่สนใจ เพื่อที่พวกเขาจะได้รู้ว่ามีการทำธุรกรรมอะไรบ้างเกิดขึ้น

กระนั้น สมุดบัญชีกลางที่ดีจะต้องมีความน่าเชื่อถือสูง และการเก็บข้อมูลทุกอย่างถูกเก็บในรูปแบบของดิจิตอล คำถามคือเราจะแน่ใจได้อย่างไรว่าบล็อกเชนจะไม่สามารถถูกดัดแปลงหรือโกงได้? คำตอบนั้นอยู่ที่ miner หรือนักขุด

เมื่อบล็อกของธุรกรรมบิทคอยน์ถูกสร้างขึ้นมานั้น เครื่องขุดก็จะนำมันมาประมวลผล เครื่องขุดเหล่านั้นจะนำเอาข้อมูลจากบล็อกมาทำการเข้ารหัสสมการทางคณิตศาสตร์ เปลี่ยนให้มันมีรูปแบบอย่างอื่นที่มีขนาดสั้นกว่า โดยลักษณะของมันจะดูเหมือนกับตัวเลขผสมตัวหนังสือแบบสุ่มมั่วๆ สิ่งนี้คือสิ่งที่เรียกว่า hash โดย hash นั้นจะถูกเก็บเข้าไปในบล็อกเชนพร้อมๆกับบล็อกในเวลาเดียวกัน